ในปัจจุบัน
เมื่อกล่าวถึงนมวัวสำหรับเลี้ยงทารก ก็เกือบจะหมายถึง
นมผงสำหรับเลี้ยงทารกเลยทีเดียว เพราะตระเตรียมสะดวก จึงเป็นที่นิยมกันมาก
สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผง
ประการแรกมักเกิดปัญหาว่า จะเลี้ยงลูกด้วยนมตราอะไรดี ที่จริงคุณจะเลี้ยงลูกด้วยนมตราอะไรก็ได้
แต่ควรเลือกตราที่ร้านเจ้าประจำของคุณขายดีเพราะนมจะไม่เก่าและเมื่อตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยนมตราอะไรแล้วละก็
ไม่ควรเปลี่ยน เพราะอย่างน้อยที่สุดเมื่อเด็กถ่ายอุจจาระบ่อยครั้งขึ้น
คุณจะได้แน่ใจว่าสาเหตุไม่ได้มาจากนม
นมผงที่ขายอยู่ในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิด
แต่ละยี่ห้อก็โฆษณาว่านมของตนดีที่สุด แต่คุณแม่จะเลี้ยงลูกด้วยนมตราอะไรก็ได้
ไม่มีข้อจำกัดว่าถ้าคุณไม่เลี้ยงลูกด้วยนมตรานี้แล้วลูกคุณจะไม่โต
เพราะกระเพาะของเด็กมีความสามารถในการย่อยนมได้หลายประเภท นมคนก็ย่อยได้
นมวัวก็ย่อยได้ ยิ่งถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยนมวัว
ทั้งส่วนสูงและน้ำหนักจะเพิ่มเร็วกว่า แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า
นมวัวดีกว่านมแม่ เพราะว่าถึงแม้ร่างกายเด็กจะเติบโตเร็ว
แต่ก็เปรียบเสมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไม่ดี มีไอเสียเยอะ
แต่ก็วิ่งเร็วเพราะกินน้ำมันจุ แต่พอวิ่ง ๆ ไปเครื่องยนต์อาจเกิดขัดข้องได้
เด็กทารกก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณให้กินนมมากเกินไป บางคนอาจจะเกิดขัดข้องเป็นโรค
“เกลียดนม” ถึงแม้เด็กส่วนใหญ่จะไม่เป็นโรคนี้
แต่ในปัจจุบันกุมารแพทย์มักจะเกรงว่า
ถ้าให้เด็กแบกร่างที่หนักอึ้งเสียตั้งแต่ยังเป็นทารก อาจเกิดอันตรายขึ้นในอนาคตได้
การเลี้ยงดูลูกด้วยนมวัว
ไม่ควรคำนึงแต่เรื่องทำอย่างไรจะให้เด็กอ้วน แต่ควรคิดด้วยว่า
ทำอย่างไรจะไม่ให้ระบบย่อยอาหารของเด็กทำงานหนักเกินไป
คุณไม่ควรผสมนมให้เด็กข้นเกินไป
ที่จริงอัตราส่วนผสมนมที่เขียนไว้ข้างกระป๋องก็ข้นเกินไปสำหรับเด็กอยู่แล้ว
ลำไส้ของทารกไม่สามารถดูดซึมนมที่ข้นเกินไปได้ โดยเฉพาะโปรตีน นมแม่มีโปรตีน 1.3
เปอร์เซ็นต์ นมวัวมี 3.3 เปอร์เซ็นต์
แต่ทารกสามารถย่อยโปรตีนของนมวัวได้น้อยกว่าโปรตีนของนมแม่ ดังนั้น
ปัญหาสำคัญสำหรับคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยนมวัว
จึงไม่ใช่เรื่องว่าควรเลือกนมตราอะไรดี แต่อยู่ที่ว่าคุณไม่ควรผสมนมให้ข้นเกินไปหรือจางเกินไป
(เพื่อประหยัดนมซึ่งมีราคาแพง)
ในอเมริกา
กุมารแพทย์จะเป็นผู้กำหนดอัตราส่วนผสมนมให้แก่เด็กเป็นราย ๆ ไป
แต่สำหรับประเทศที่หมอไม่พออย่างของเรา หมอมักจะมีงานยุ่ง
จนไม่มีเวลาดูแลเด็กแต่ละคนอย่างละเอียด จึงมักแนะนำให้คุณแม่ปฏิบัติตามสลากข้างกระป๋อง
ผลก็คือเด็กมักจะได้รับนมที่ข้นเกินไป และทำให้อ้วนเกินไป กลายเป็น “เด็กยักษ์”
เด็กยักษ์นั้น ดูภายนอกก็รูปร่างใหญ่โตดีอยู่หรอก
แต่อวัยวะภายในนั้นคงจะเหนื่อยอ่อนกับภาระแบกรับน้ำหนักอยู่ไม่น้อยทีเดียว
โดยทั่วไปแล้ว สัดส่วนในการผสมนมผง
ใช้นม 1 ช้อนเล็ก ผสมกับน้ำ 1 ออนซ์ (30 ซีซี.) และนม 1 ช้อนใหญ่ ผสมกับน้ำ 2
ออนซ์ ( 60 ซีซี )
ซึ่งทั้งช้อนเล็กและช้อนใหญ่นี้จะขึ้นอยู่ในกระป๋องของนมผงแต่ละชนิด
นอกจากปัญหา “เด็กยักษ์”
เพราะได้รับการเลี้ยงดูดีเกินไป ซึ่งมักจะเป็นปัญหาของชนชั้นกลางขึ้นไป
ซึ่งมีฐานะดีพอที่จะซื้อนมผงชนิดราคาแพงเลี้ยงลูกได้
ประเทศเรายังมีปัญหาเด็กผอมแกร็น เพราะขาดอาหารรวมทั้งปัญหา “เด็กอ้วนฉุ”
แต่ขาดอาหารเพราะถูกแม่เลี้ยงด้วย “นมข้นหวาน” เนื่องจากแม่มีความรู้น้อย
ไม่ทราบว่านมข้นหวานนั้นใช้เลี้ยงทารกไม่ได้ เพราะมีน้ำตาลมากเกินไป
แต่มีโปรตีนและไขมันน้อยมาก ทำให้เด็กอ้วนเพราะน้ำตาล
แต่ร่างกายกลับขาดธาตุอาหารที่สำคัญ คือ โปรตีน วิตามิน
โดยเฉพาะวิตามินทำให้เด็กเป็นโรคที่ชาวบ้านเราเรียกว่า “เกล็ดกระดี่ขึ้นตา”
(ซึ่งจะทำให้ตาดำขุ่น เป็นแผลแห้ง และบอดได้ในที่สุด) ปัญหานี้อาจแก้ได้ด้วยการรณรงค์โฆษณาให้แม่รู้ถึงโทษของการเลี้ยงลูกด้วยนมข้นหวาน
นอกจากนั้นยังมีแม่จำนวนไม่น้อยที่จำใจต้องเลี้ยงลูกด้วยนมข้นหวานทั้ง
ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี
แต่ฐานะทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้ซื้อนมผงเลี้ยงลูกเพราะราคาแพงเกินฐานะ
จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตัวแม่เองก็ขาดอาหารจนไม่มีน้ำนมจะเลี้ยงลูก สำหรับปัญหานี้
จะแก้ได้ก็ต่อเมื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้เท่านั้น
ไปหน้าแรก การดูแลแม่และเด็ก
เว็บสำหรับคุณแม่ http://www.dumex.co.th